เมื่อเป็นตัวตนที่แท้ จะไม่ขับเคลื่อนด้วยความอยากความกลัว ทักษะสำคัญศตวรรษที่ 21
เบื่อจังเลยแม่เอานี่ไปทำเอานั่นไปทำ เบื่อๆ บ้างก็ได้นะลูกนะเบื่อๆ แล้วมานั่งนิ่งๆ “การไม่ดิ้นรนทำอะไรคือทักษะสำคัญ” จริงๆ ทุกศตวรรษ ศตวรรษที่ 21 ยิ่งหนักเลยอยู่เฉยๆ ไม่เป็น การอยู่เฉยๆ ไม่เป็น
ผลที่ตามมาคือ ไอจีแฟนเก่าโผล่มา มันบอกเลิกคบแล้วมันหลอกเรานี่หว่า เอาแล้วเริ่มแล้ว ทำไมเขาทำกับเราแบบนี้ ไปแล้วพ่อก็เป็นกับเรา แม่ก็เป็นกับเรา ไปแล้วๆ ฆ่าตัวตายก็เป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้จะออกจากวังวนตรงนี้อย่างไร แล้วชีวิตที่ผ่านมา เราถูกฝึกให้หนีมาตลอด หนีแบบ Adaptive หนีแบบการปรับตัวก็ดูดี (หนึความจน หนีจากตัวเอง หนีความลำบาก หนีความคิดลบ)หนีแบบ Un Adaptive หนีแบบเมาปรับตัวแบบผิดๆ ก็ไปติดยาแต่ก็หนีบางคนก็หนีไปเป็นเน็ตไอดอลก็ได้รับการยอมรับแต่วันดีคืนดีถ้ายอดติดตามหาย เน็ตพัง อะไรไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วจะอยู่อย่างไงล่ะ
เราไม่เคยถูกฝึกให้อยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ
เราโตมาในบรรยากาศที่ส่งเสริมให้เราไปหาความมั่นคงหาสิ่งที่ใช่ สิ่งที่ชอบ เราก็พาไปที่ชอบที่ชอบ เราอยู่กับที่ไม่ชอบไม่เป็น เราไม่ได้ถูกฝึกให้อยู่ในที่ไม่ชอบ เราถูกเทรนให้ทำดีกว่านี้แล้วก็จะพ้นจากตรงนี้ ทำแล้วก็ไม่อยากเจอแบบนี้ใช่ไหม ทำแบบนี้สิ สุดท้ายเราก็ต้องเจอสิ่งที่เราไม่ชอบจนได้ Comfort Zone เราก็แคบลงแคบลงเรื่อยๆ ถ้าเราดูตรงนี้โลกทั้งใบมันอยู่ในนี้ (โลกอีกหนึ่งใบคือโลกภายใน)
เมื่อเป็นตัวตนที่แท้ จะไม่ขับเคลื่อนด้วยความอยาก หรือความกลัว
Spiritual bypass
การหลีกเลี่ยงเผชิญหน้ากับตัวเอง เราคิดว่าเราปลอดภัยแต่ข้างในมันปั่นอยู่ข้างในหลายคนที่แสวงหา Spiritual เพื่อเยียวยาตัวเอง คือข้างในมันมีอะไรบางอย่าง มาอยู่ตรงนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย รู้สึกว่าช่วยตัวเองได้ช่วยให้ดีขึ้นแล้วไม่ได้ใช้เวลาเรียนรู้ข้างใน บางคนไปอยู่กับวัดไปอยู่กับการไหว้พระสวดมนต์ แต่เราดูชีวิตเขาไม่ผ่องใสเลยอ่ะเราดูเขาหมองๆ แต่เขาก็อยู่ด้วยความเคารพศรัทธาแต่ถามว่าเขาเต็มอิ่มไหมเขาใช่ไหม จะบอกว่ามันก็ดีกว่าอยู่บ้านโอเคมันก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีแต่ว่า หันเขาหาเรื่องพวกนี้จะดึงดูดได้ง่ายเรื่องพวกนี้จะดึงดูดได้ง่ายสำหรับคนที่มีความทุกข์ และคนที่มีความทุกข์มักจะมีอะไรข้างในต้องยอมรับความจริงอันนี้ก่อน แล้วเรื่องนี้มันรู้สึกว่าพึ่งได้รู้สึกว่าปลอดภัยมีกรุ๊ปมันคนกลุ่มเดียวกับเรา มีพวกมีสีอะไรต่างๆ มันทำให้เรา stable ขึ้นรู้สึกมั่นคงด้วยสิ่งยึดเหนี่ยวโดยที่ข้างในยังไม่ได้แก้ เราจะข้ามไปเพราะเรารู้สึกสบายทำนู้นทำนี่เราไม่ได้อยู่บ้านคนเดียวสักพักจะเริ่มเหงาเริ่มมโน คนขี้เหงาใช่มั้ยเพราะเราต้องการปฏิสัมพันธ์พอเราเหงาๆ เราไม่มีอะไรยึดตัวตนมันไม่มีอ่ะเพราะที่ผ่านมาตัวตนมันต้องพึ่งปฏิสัมพันธ์หลายคนตัวตนต้องพึ่งปฏิญาคนอื่นเวลาคนอื่นไม่ตอบสนองเหมือนตัวเองไร้ค่า มันก็จะลำบากเวลาอยู่กับคนอื่น เวลาเราจะชวนให้คนอื่นมามีสติ สร้างสติให้ผู้อื่นด้วยการพามาอยู่กับปัจจุบัน ตัวอย่างคุณตาคุณยายชอบเล่าเรื่องอดีตวิธีที่จะให้แม่กลับมาอยู่กับปัจจุบันอย่าไปบอกเขานะแม่อยู่กับปัจจุบันสิ ทำยังไงให้เขาอยู่กับปัจจุบัน “แม่ตอนนี้แม่รู้สึกอย่างไรบ้าง?” “แม่หิวข้าวไหม?” “ร้อนไหม?” “แม่คุยกับใครอยู่” นี่พาเขามาอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่บอก อดทนนะอดทนนะหัดอดทนนะ หัดอดทนซะบ้างสิ อยากหัดเหมือนกันอ่ะหัดยังไงแม่สอนหน่อยสิอดทนเขาสอนอย่างไง หัดอดทนซะบ้างซิ อยู่เฉยๆ บ้างสิโดยใช้อารมณ์ 555 แล้วตกลงใครควรจะหัดแม่หรือเด็ก เด็กนี่โดนเขย่าคอสั่น.. แม่ก็โยกไปซิตกลงใครจะต้องควบคุมกันแน่
นำความเข้าใจมาปรับใช้กับตัวเอง แล้วจึงสามารถส่งต่อให้ผู้อื่นได้
นำความเข้าใจนี้มาใช้กับตัวเราอย่างไร ไม่ใช่เข้าใจไว้ปลอบใจเพื่อน ไม่งั้นเราก็เก่งเรื่องชาวบ้านเรื่องชาวบ้านเราก็ชำนาญใช่มั้ยเรื่องชาวบ้านชำนาญมากเลย ปุ๊บปั๊บแต่พอเราเป็นแล้วเราลืม เราลองมองตัวเองแบบชาวบ้านเนี่ยะแหละ ชาวบ้านไอ้คนที่อยู่ใกล้เราที่สุดล่ะไอ้คนเนี้ยะตื่นมามันก็โผล่มาแล้ว เราจะรีเฟรสได้ดีก็คือ Open
พร้อมที่จะเปิด การมองเห็นให้อารมณ์และความคิด
ถึงเวลามันมาแล้ว มันจะมีไม่เป็นไร เห็นท่าทีที่ไม่อยากพร้อมที่จะรู้ว่าตัวเองไม่ชอบตัวเองมีไบแอสพร้อม Open สำหรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นไม่มีข้อห้าม เจ้าประคุณขออย่าให้มี… ไม่เลิกเลิกไม่มีอะไรก็เกิดขึ้นได้ภายในภายนอกขอก็ไม่เคยสำเร็จยิ่งขอมากๆ จะผิดหวังทำไมขอแล้วไม่สำเร็จวะไม่ต้องไปขอ ถ้าเจ้าประคุณมา…ให้รู้ว่าอยู่กับปัจจุบันเมื่อเรา Open.. Full observable(สังเกต,มองเห็น)จะเกิดขึ้น ถ้าไม่ Open มันก็มองไม่เห็น (จักระตาที่ 3 ปิดจำเป็นต้อง Open คือยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น)
เมื่อเฝ้าสังเกตได้ดี “เราก็จะเป็นกลาง” ไม่หลงไปตามความรู้สึก ไม่ปัดไม่หลงตาม
อาจารย์ยกตัวอย่างตัวเอง ที่ช่วงนึงอาจารย์ฝันร้ายหนึแล้วหนีไม่พ้น หนียังไงก็หนีไม่พ้นแต่ก็หนีทุกทีจะสะดุ้งตื่่นบ้างไม่สะดุ้งตื่นบ้างมันหายไปตอนไหนก็ไม่รู้เอมันฝันฉากเดิมๆ ซ้ำๆ อาจารย์เร่ิ่มลำคาญเอ๋อะไรวะ ก็เลยบอกตัวเองว่าถ้าฝันแบบนี้อีกจะไม่ทำอะไรจะยอมทุกอย่างจะนอนมันต่อไป ก่อนหน้านี้ฉากในฝันมันจะเหมือนปิศาจมาแล้วมันจะวิ่ง โดดลงหน้าผามุดลงไปไหนไม่มีทางพ้นโดดลงหน้าผาก็ไม่ตายนะมันก็เปลี่ยนฉากมั่วๆ ไป อาจารย์ก็ตั้งใจแล้ว มีอยู่วันก็ฝันอีกอาจารย์ก็บอกไปเลยว่ามึงจะทำอะไรก็ทำกูยอมกูจะนอนในฝันนะแล้วอาจารย์ก็นอนจบยอมๆ ไปดิ้นลนมาเยอะแล้ว มันเกิดอยู่ตลอดเราก็จะไม่ได้นะไม่ได้นะ
OK ให้สิ่งที่ไม่เป็นดั่งใจ
เจอมาตลอดไม่นะเฟล ความจริงคือมันเกิดอ่ะเพราะฉนั้นต่อไปนี้ถ้ามันจะเกิด OK เลย ถ้าจะทำไม่ได้เนี่ยะมันทำไม่ได้มาตั้งหลายรอบแล้ว จริงรึเปล่าถ้าที่นี้มันจะไม่ได้แล้วไงวะ? ก็ทำใหม่ดิวะ 555 ง่ายจะตายทำใหม่ได้ตลอดอ่ะอะไรกันมากมาย สบายขึ้นแล้วคนรอบข้างก็ปลอดภัยไม่ต้องทำเพื่อความปลอดภัย ตอนนี้ทำเพื่อคุณค่าความหมายอย่างแท้จริง เพราะฉนั้นอดีตที่ผ่านมาแล้วไม่ต้องไปเสียเวลา จะไปต่อยังไง?
เมื่อเห็นตัวเองถี่ถ้วนแล้ว จะเลือกสิ่งที่เป็นตัวเราได้
เริ่มเข้าใจ เพราะอยู่เราเคยแบกอะไรมาเยอะ จะไปต่อยังไง จะปลดอะไรออกไปได้บ้าง ที่แบกๆ มาหรือเรากำลังโหยหาอะไรใช่มั้ย ไม่ต้องทำเพื่อโหยหาอะไรทำเพื่อทำ คุณภาพมันก็ดีขึ้นอย่างทำได้บ้างไม่ได้บ้างหรือยังไม่ได้ก็ไม่เป็นปัญหาไม่มีใครมานั่งตามวัดตามอะไรมันอยู่กับเราค่อยๆ เรียนรู้ม้นก็ “Growth Mindset” แม้ผลลัพธ์จะไม่ดูเด่นดูดี ยอดไลค์จะแย่มันก็ไม่ได้เป็นประเด็นอะไร ก็เรียนรู้ไปขึ้นบ้างลงบ้างเราก็ไม่ตกใจ (แม้ผลลัพธ์จะแย่แต่มีความมั่นคงภายใน)บางคนตกใจเสียใจเพราะข้างในไม่แข็งแรงพอถูกบางสิ่งบางอย่างทำให้รู้สึก ของเดิมมันใช่แล้วแต่ความไม่ใช่จะโผล่มาเป็นคราวๆ พอเราไม่รู้เราก็ไปเสริมมันไปปรับเพิ่ม เมื่อความไม่ใช่มันเข้ามา แล้วเรารู้ทันมันก็ตกไปรู้ทันช้าก็ตกช้าหน่อยมันไม่ใช่ทำอะไรใหม่ มันเป็นการรู้เท่าทันส่วนเกินรู้เท่าทันสิ่งที่เป็นภาระทางใจเพราะของเดิมมันไม่ได้มีภาระ “ฝึกที่จะไม่เอาอะไร” โดยการรู้ทันเวลาจะเอาเวลาเผลอฝึกรู้ทัน มีคนถามไม่เอาแล้วทำไมต้องฝึก ฝึกก็แสดงว่าต้องเอาอะไรบางอย่างใช่มั้ย ไม่เอาอะไรทำไมต้องฝึกเพราะตั้งแต่เล็กจนโตเอามาตลอด เอาโดยอัตโนมัติไม่เอาอันนึงคือเอาอีกแบบนึงคือมันวิ่งซ้ายวิ่งขวา “ฝึกให้อยู่เหนือมันแล้วเห็นซ้ายขวาเป็นเรื่องธรรมชาติ” ถึงต้องฝึกเพราะธรรมชาติเอาตัวรอดเลียนแบบเอากับไม่เอาก็เลยได้ที่ชอบที่ชอบสมัยนี้ คราวนี้เราจะเป็นอิสระ ฉนั้นไม่เอาอะไรจึงต้องฝึก และฝึกง่ายมากเวลารู้ทันเวลาจะเอาก็นิ่งๆ ต่อไปก็ไม่ทำอะไรด้วยความดิ้นรนทำอะไรด้วยความเข้าใจ รู้ว่ามันมีคุณค่างดเว้นเพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์มันทำอะไรทำมาหลายรอบแล้วมันมีแต่โทษ เห็นละในความเป็นโทษที่ปรากฎเลยไม่ทำไม่ใช่เพราะว่าทำเพราะอยากหรือไม่ทำเพราะไม่อยาก ชีวิตที่เหลือก็จะทำในสิ่งที่ควรทำ งดเว้นในสิ่งที่ควรงดเว้นไม่อยากทำแต่มันควรทำก็ทำได้มากขึ้น อยากทำแต่ไม่ควรทำก็งดเว้นได้มากขึ้นไม่ใช่ทำตามความอยากหรือไม่อยากตลอดเวลา
สิ่งที่ควรพิจารณานอกจาก อยาก หรือไม่อยาก คือควรหรือไม่่ควร
ถอดเนื้อความจากคลิป ขอขอบพระคุณ รศ. ดร.นพ. ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ที่มามอบความรู้และแบ่งปันประสบการณ์
****Growth Mindset กรอบความคิดหรือทัศนคติแนวคิดแบบยืดหยุ่นและเติบโตพัฒนาต่อไปข้างหน้า เชื่อในศักยภาพของคน และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดประสิทธิภาพเป็นอย่างดี การพัฒนาระบบการคิด รวมทั้งการให้เครื่องมือและวิธีการ เพื่อช่วยให้สามารถคิดวิเคราะห์ และสร้างสรรค์แก่บุคคลากรจึงเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรก้าวเดินได้อย่างมั่นคง และได้ตามเป้าหมาย
****Fixed Mindset