นานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งมีความโลภเป็นนิสัย ชื่อ ว่า “พิศาล” อีกคนหนึ่งมีความอิจฉาเป็นนิสัย ชื่อว่า “ถวิล
พิศาลกับถวิลนั้น คบหาเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว แต่จัดอยู่ในประเภท เพื่อนกินมากกว่าเพื่อนตาย เพราะทั้งสองไม่เคยมีความจริงใจมอบให้แก่กัน แต่ ที่ยังคบกันอยู่ได้จนทุกวันนี้ ก็เพราะไม่มีใครอื่นอยากเข้ามาคบหาสมาคมด้วย
วันหนึ่ง พิศาลได้ข่าวว่า ตรงศาลพระภูมิท้ายหมู่บ้าน มีเทวดาองค์หนึ่ง มาสิงสถิตให้ความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านที่เดือดร้อน ความโลภที่เป็นนิสัยพื้นเพ ของพิศาลได้สั่งให้เขาเร่งรีบเดินไปท้ายหมู่บ้าน เพื่อขอพรจากเทวดาให้ตัวเอง มั่งมีเงินทองมากกว่าผู้ใด เมื่อไปถึงศาลพระภูมิท้ายหมู่บ้าน พิศาลก็ก้มลงกราบไหว้ศาลพระภูมิ เป็นการใหญ่ พร้อมกับอ้อนวอนขอให้เทวดาซึ่งสิงสถิตอยู่รับฟังคําขอของเขา ฝ่ายเทวดานั้น เมื่อเห็นพิศาลก็หยั่งรู้ด้วยญาณวิเศษทันทีว่า มนุษย์ผู้นี้เป็นคนโลภ ไร้ซึ่งคุณธรรม และไม่สมควรได้รับการช่วยเหลือจากตน แต่เพราะเห็นว่าพิศาลเฝ้าอ้อนวอนอยู่นั่นแล้ว เทวดาจึงยอมปรากฏกายขึ้นเพื่อพูดคุยด้วย
“ว่าอย่างไรเจ้า” เทวดาทักทายพิศาล
พิศาลเห็นเทวดาปรากฏกายออกมาทักทายก็ดีใจมาก รีบละล่ําละลักพูด กับเทวดาว่า
“ท่านเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ ข้าได้ทราบข่าวมาว่าท่านเป็นเทวดาที่มีเมตตานัก ท่านให้ความช่วยเหลือชาวบ้านพ้นความเดือดร้อนมาแล้วมากมาย ดังนั้นข้าจึง อยากขอความช่วยเหลือจากท่านบ้าง”
“ที่ว่าข้าได้ช่วยเหลือคนนั้น เห็นจะไม่ผิด แต่ข้ามิได้ช่วยเหลือทุกคน ที่มาร้องขอดอกนะเจ้า ข้าช่วยให้คนที่ยากจนมีเงินทองพ้นจากความเดือดร้อน หากเขาขยันขันแข็งทํามาหากินมากพอ ข้าให้พรแก่มานพหนุ่มที่จะไปสอบเข้า รับราชการให้สามารถสอบผ่านได้ หากเขาพากเพียรใฝ่รู้เป็นนิสัย ข้าช่วยหญิงมี บุตรยากตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น แต่นางต้องเป็นผู้ทํากรรมดีมาก่อนเป็นเวลานานแล้ว ข้าช่วยทุกคนที่เป็นคนดีมีคุณธรรม มักทําคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะบุคคล เหล่านี้คือผู้ที่ข้ามั่นใจว่า เมื่อให้พรแก่พวกเขาไปแล้ว พรของข้าจะไม่มีวันสูญเปล่า และก่อให้เกิดประโยชน์สุขเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นๆ ด้วย” เทวดากล่าวให้พิศาลได้ รู้ตัวเป็นนัยๆ แต่พิศาลไม่รู้จักคําว่าคุณธรรม เขาเป็นคนเขลาและมีแต่ใจที่คิด อยากได้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไม่ว่าเทวดาจะกล่าวอะไรมาก็ตาม เขาก็คิดว่าเขา คือผู้ที่เทวดาสมควรมอบสิ่งที่ร้องขอให้ เพราะเขาอยากได้สิ่งเหล่านั้นมากมาย เหลือเกิน
“ข้าก็เป็นคนดีนะท่านเทวดา ข้าก็ทํางานหนักเหมือนกัน แต่ทําเท่าไรก็ไม่ เห็นจะมีเงินมากเท่าคนอื่นเขาสักที” พิศาลว่า “นั่นเป็นเพราะเจ้ายังพยายามไม่พอ” เทวดาตอบ เพราะหยั่งรู้ด้วยญาณ วิเศษอีกเช่นกันว่า พิศาลไม่ใช่คนที่ตั้งใจทํางานนัก
“แต่ข้าอยากได้เงินทองมากกว่านี้ ได้โปรดเถิดท่านเทวดา ข้าอยากได้ เงินทองมากกว่าที่ข้ามีอยู่ในตอนนี้สักพันเท่า” พิศาลยังคงอ้อนวอนขอพร เทวดาต่อไปโดยไม่ฟังอะไร
เทวดาคิดว่า ป่วยการที่จะสอนคนเขลาให้สํานึกได้ด้วยการพูดจาสั่งสอน ดังนั้นเทวดาจึงกล่าวแก่พิศาลว่า
“ก็ได้ ข้าจะให้พรตามที่เจ้าขอ แต่เชื่อเถอะว่า เจ้าจะไม่มีวันมีความสุข จากทรัพย์สมบัติมากมายที่เจ้าต้องการดอกกลับไปที่บ้านของเจ้าเถิด ข้าได้ เนรมิตเงินทองมากมายไว้ให้เจ้าที่นั่นแล้ว”
กล่าวจบ ร่างของเทวดาก็หายลับไปในศาลพระภูมิ ส่วนพิศาลก็รีบวิ่ง กลับบ้านเพื่อไปชมเงินทองมากมายเหล่านั้นทันที เมื่อมาถึงบ้าน พิศาลก็ต้องตกใจมาก เพราะถวิลมานั่งอยู่ในบ้านของเขา แล้ว อีกทั้งยังโกยเงินทองมากมายที่กองอยู่ในบ้านของเขาขึ้นมาเพ่งพินิจด้วย ดวงตาที่มีความหมาย
“วางเงินนั่นลงเถอะเพื่อน เพราะทั้งหมดนั่นมันเป็นของข้า” พิศาลติงถวิล พร้อมกับแย่งเอาเงินทองในมือของถวิลมาใส่ในกองอย่างเดิม
“เจ้าไปเอาเงินมากมายก่ายกองเช่นนี้มาจากไหนกันเพื่อน จะว่าเป็นเงินที่ ได้จากการทํางานก็เห็นจะไม่ใช่ เพราะเราทํางานด้วยกันมาตลอด ข้ามีเท่าไร เจ้า ก็ควรจะมีเท่านั้นสิ ถึงจะถูก” ถวิลถามด้วยความสงสัย
“เรื่องของข้าน่ะ” พิศาลบอกปัดอย่างรําคาญ
“ว่าไงนะ.เรื่องของเจ้าเรอะ…พูดอย่างนี้คงไม่ได้หมายความว่าเจ้าไป ขโมยเงินของคนอื่นมาหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าคงต้องไปแจ้งให้ท่าน หัวหน้าหมู่บ้านรู้เสียแล้วล่ะ” ถวิลกล่าวอย่างคนเจ้าเล่ห์
“ข้าไม่ได้ขโมยใครมาทั้งนั้น! นี่คือสิ่งที่ท่านเทวดาตรงศาลพระภูมิท้าย หมู่บ้านให้ข้ามา ข้าขอของข้ามาเอง” พิศาลรีบบอก
“งั้นรี ไม่ขโมยใครมาก็ดีแล้ว จะได้ไม่เดือดร้อนทีหลังนะเพื่อน” ถวิลว่าเสมือนหวังดี แต่ในใจนั้นลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความอิจฉา ดังนั้น ถวิลจึงรีบลาพิศาลกลับบ้าน โดยอ้างว่าปวดหัวอยากพักผ่อน แต่ แท้จริงแล้วกลับเดินมุ่งตรงไปยังศาลพระภูมิท้ายหมู่บ้านทันที
“ท่านเทวดา” ถวิลยกมือไหว้อยู่หน้าศาลพระภูมิ “ข้าเป็นเพื่อนกับพิศาล คนที่ท่านมอบเงินทองมากมายแก่เขา”
ฝ่ายเทวดาเมื่อได้ฟังคําถวิลอยู่ในศาลพระภูมิก็รู้สึกขบขันเหลือประมาณ
เออแน่ะ สวรรค์ช่างจับคนโลภกับคนขี้อิจฉามาเป็นเพื่อนกันได้ เป็นคู่ ที่เหมาะสมกันดีแท้ เสมือนผีเน่ากับโลงผูก็ไม่ปาน เห็นทีว่าเราคงต้องให้บท เรียนสักอย่างกับเจ้าสองคนนี้เสียแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้น เทวดาก็ส่งเสียงออกไปกล่าวแก่ถวิลว่า “เราคือเทวดา เราจะให้สิ่งที่เจ้าต้องการ จงขอเรามา”
“ท่านเทวดา ข้าเป็นเพื่อนกับพิศาลมาช้านาน เมื่อเขาได้อะไร ข้าก็ สมควรจะได้ในสิ่งเดียวกันนั้นด้วย แต่ไม่ล่ะ ข้าเชื่อว่า เขาจะมาขอท่านอีกเรื่อยๆเพราะฉะนั้น หากพิศาลขอสิ่งใด ข้าขอของสิ่งนั้นมากกว่าอีกเท่าตัว” ถวิล ร้องขอ
“ย่อมได้ ข้าจะให้ตามที่เจ้าขอ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า นั่นก็เป็น เพราะความโลภและความขี้อิจฉาของพวกเจ้าเองจําเอาไว้ให้ดี” เทวดากล่าวเตือน
“สิ่งที่ข้าจะได้ ก็มีแต่เพียงความร่ํารวยมั่งคั่งเท่านั้นแหละท่านที่สําคัญ ข้ายังมีมากกว่าเพื่อนของข้าอีกด้วย ซึ่งสําหรับข้าแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่สําคัญนักแล” ถวิลพูดอย่างกระหยิ่มใจ ก่อนจะกราบเทวดาแล้วเดินกลับบ้านไป เทวดา มองตามถวิลแล้วยิ้มอย่างสมเพชเวทนาเล็กน้อย วันรุ่งขึ้น พิศาลก็มาหาเทวดาแล้วกล่าวขอทรัพย์สมบัติอย่างอื่นอีก
“เจ้าถวิลคนถ่อย! มันขี้อิจฉานัก เห็นว่าข้ามีแล้วอยากจะได้บ้าง ซ้ํายัง ขอมากกว่าข้าเสียอีก ดีล่ะท่านเทวดา ครั้งนี้ขอบ้านหลังใหญ่ๆ ให้ข้าสักหลังนะท่าน”
“ได้สิ” เทวดาว่า “บ้านหลังใหญ่รอเจ้าอยู่แล้ว” ไม่นานนัก พิศาลก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหาเทวดาอีก
“เจ้าถวิลมันได้บ้านหลังใหญ่กว่าข้าอีกแน่ะ ดีล่ะ ครั้งนี้ข้าขอข้าทาสบริวารมากมายมาไว้ใช้สอยนะ ท่านเทวดา”
“ได้สิ ข้าทาสบริวารมากมายรอเจ้าอยู่แล้ว” สักพัก พิศาลก็มาหาเทวดาอีก
“ขอที่ดินกว้างสุดลูกหูลูกตาให้ข้าด้วยเถิด ท่านเทวดาข้าจะเอาไว้เสริมบารมี”
หลังจากนั้นพิศาลก็มาหาเทวดา เพื่อขอทรัพย์สมบัติอีกเรื่อยๆ อย่าง ไม่รู้จักพอ
แต่ไม่ว่าพิศาลจะขออะไร ถวิลผู้เป็นเพื่อนก็จะได้มากกว่าเป็นสองเท่า ทําให้พิศาลรู้สึกโมโหและหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก วิธีเดียวที่จะช่วยดับความ รู้สึกนี้คือการไปขอทรัพย์สมบัติเพิ่มจากเทวดา ดังนั้น พิศาลจึงรีบไปหาเทวดายัง ศาลพระภูมิท้ายหมู่บ้านทันที แต่เมื่อไปถึงก็พบถวิลนั่งกราบไหว้เทวดาอยู่ในที่ นั้นแล้ว
“จะมาขออะไรจากท่านเทวดาอีกล่ะเพื่อน” ถวิลร้องทักพิศาลด้วยรอยยิ้มที่ไร้ความจริงใจเป็นที่สุด
“แกจะอยากรู้ไปทําไมเล่า หรือจะได้ขอตามข้าด้วยอย่างนั้น” พิศาลโต้ตอบอย่างหัวเสีย
“อ๋อ..” ถวิลลากเสียงยาว “ข้าไม่จําเป็นต้องรู้หรอกว่าเพื่อนขออะไร เพราะ ถ้าเพื่อนขออะไร ข้าก็จะได้สิ่งนั้นมากกว่าเพื่อนเป็นสองเท่าเสมอแหละ”
“ตลอดมาเมื่อข้ามีอะไร เจ้าก็จะไปสรรหาสิ่งที่ดีกว่าและมีมากกว่ามาไว้ ที่ตัวเองเสมอ เจ้ามันเป็นคนขี้อิจฉา! เห็นคนอื่นมีแล้วทนไม่ได้ ต้องมีอย่างเขา ด้วย!” พิศาลต่อว่าเพื่อนอย่างรุนแรง
“อย่าว่าแต่คนอื่นเขาเลย เพราะเจ้าก็เป็นคนไม่รู้จักพอ ละโมบโลภมาก อยากได้นั่นได้นี่ไม่มีที่สิ้นสุด ใช่! ข้าอิจฉาเจ้า ก็แล้วจะทําไม อย่างไรข้าก็จะ ต้องได้ในทุกสิ่งที่มากกว่าเจ้าเสมอไปนั่นแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า”
พิศาลฟังถวิลหัวเราะเยาะตนแล้วรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก เขาโกรธ จนเลือดขึ้นหน้า โดยไม่ทันได้คิดอะไรให้ดีเสียก่อน พิศาลก็ร้องขอเทวดาออกไปว่า
“ท่านเทวดา ข้าขอให้ดวงตาของข้า เหลืออยู่เพียงข้างเดียวเท่านั้น” เทวดาให้พรนั้นตามความปรารถนาทันที
ดังนั้น พิศาลคนละโมบจึงเสียดวงตาของเขาไปหนึ่งข้าง ส่วนถวิลคนขี้ อิจฉาก็สูญเสียดวงตาของตนไปทั้งสองข้าง
“ข้าบอกเจ้าแล้ว การได้อะไรมาโดยไม่ชอบนั้น มักนําความเดือดร้อนมา สู่ตนเสมอ” เทวดากล่าว พร้อมกับหายตัวกลับสวรรค์โดยไม่ลงมายังโลก มนุษย์อีกเลย
ส่วนพิศาลและถวิลนั้น ได้ใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้รับจากเทวดา มา รักษาดวงตาที่มืดบอดและอํานวยความสะดวกให้แก่ชีวิตที่ไร้ดวงตาของตนไป จนหมดสิ้น สุดท้าย พวกเขาก็สิ้นเนื้อประดาตัวกลายเป็นคนพิการที่มีชีวิตลําบากลําบนไปจนสิ้นอายุขัย
เ ธ อ ทั้ ง ห ล า ย . . .
เห็นจะไม่ผิดนักหรอกถ้าจะบอกว่า ความโลภกับความอิจฉานั้น เป็น เพื่อนที่รักกันมากทีเดียว เพราะเมื่อความโลภและความอิจฉามาข้องเกี่ยว ใกล้ชิดกันแล้ว ต่างก็รังแต่จะชักนํากันไปสู่ความหายนะอย่างสนุกสนาน ความโลภไมเกี่ยงงอนความอิจฉา และความอิจฉาจะไม่มีวันปฏิเสธความโลภ ทั้งสองเป็นหายนะแห่งชีวิตมนุษย์ที่คอยเกื้อหนุนกันอยู่เสมอ ความรู้จักพอนั้นสําคัญมากทีเดียวเธอเอ๋ย เพราะความพอใจจะเป็น เสมือนเกราะแก้วคุ้มครองเธอ ให้พ้นจากภัยแห่งความโลภและความอิจฉา หากเธอมุ่งมั่นที่จะทําอะไรสักอย่าง และเธอก็พยายามจนถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่า ผลจะออกมาเช่นไร เธอก็ควรพอใจในผลที่ออกมานั้น แล้วครั้งต่อไป เธอ อาจจะพยายามทําให้ดีขึ้นอีกได้ แต่ต้องไม่พยายามจนทําลายความรู้จักพอ ในตนเอง แล้วเปิดโอกาสให้ความโลภรวมทั้งความอิจฉา เข้ามายึดครอง หัวใจที่บริสุทธิ์ของเธอได้ หากเธอมีไม่มากเท่าคนอื่น แต่เธอรู้สึกว่า ชีวิตตนเองก็มีความสุข ที่สุดแล้ว เธอจะอยากมีไปทําไมอีกเล่า ถ้าเธอมีมากเท่าคนอื่นแต่ต้องสูญเสียความสุขทั้งชีวิตไป เธอจะยอมแลกกับมันจริงๆ หรือ
ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆ เป็นแรงบันดาลใจอันทรงคุณค่าจากนิทานสีขาวโดย : ดร.อาจอง ชุมสาย ณ.อยุธยา